ณ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประตูห้องทำงานของแพทย์ผู้หนึ่งมีภาพสะดุดตาแสดงศรัทธาของเจ้าของห้อง
ศรัทธาอันเด่นชัดนี้สร้างความฉงนให้แก่ผู้มาเยือนเมื่อทราบว่าในอดีตนายแพทย์ท่านนี้เคย
“ต่อต้าน” บุรุษในภาพนั้นเป็นเวลาอันยาวนาน
ท่านคือ รศ.นพ. วิรัช วิศวสุขมงคล จบการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันอายุ 58 ปี
ท่านเป็นสูตินรีแพทย์และเป็นอาจารย์แพทย์อยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ และเป็นศิษยาภิบาลคริสตจักรพันธกิจไทยทรินิที่
ภรรยาชื่อ ดร.วัลลภา วิศวสุขมงคล จบปริญญาเอกด้าน Organization
Development จากประเทศฟิลิปปินส์ มีบุตรสามคนชื่อ นางสาววิชุดา
ทำงานที่ ในตำแหน่ง Resourcing Manager
ที่ Tesco Lotus นางสาววรรณรัตน์ กำลำงจะเดินทางไปศึกษาต่อในหลักสูตร
MCA ที่ Imperial College ประเทศอังกฤษ
และนักศึกษาเพทย์. วิญช์
ศึกษาแพทย์ปีที่ 6 คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หลังจากจบการศึกษาในปี
ค.ศ. 1978 คุณหมอวิรัชได้สมรสกับคุณวัลลภาซึ่งขณะนั้นเป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน
ทั้งคู่เป็นพุทธศาสนิกชน คุณหมอวิรัชต้องไปทำงานใช้ทุนแพทย์ที่โรงพยาบาลมหาราช จังหวัดนครศรีธรรมราช
คุณวัลลภาจึงย้ายไปทำงานที่โรงพยาบาลนครคริสเตียนในจังหวัดเดียวกัน เธอได้มีโอกาสรู้จักเพื่อนที่เป็นคริสเตียนมากขึ้นอีกหลายคน
และได้ยินได้ฟังเรื่องของพระเยซู…แต่ไม่รู้จักพระองค์เมื่อคุณหมอวิรัชทำงานใช้ทุนเรียบร้อยแล้ว
ได้ย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพฯ และคุณวัลลภาได้กลับไปทำงานที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียนอีกครั้งหนึ่ง
คุณหมอวิรัชเล่าว่า “ภรรยาผมบอกว่าเขาฝันเห็นพระเยซู
2 ครั้ง และเธอใช้คำว่า เธอตกหลุมรักพระเยซู
ผมก็บอกเธอว่าเธอคงเก็บเรื่องในที่ทำงานมาฝัน” อย่างไรก็ดี เธอเริ่มศึกษาเรื่องของพระเจ้าอย่างจริงจังโดยการอ่านพระคัมภีร์และการฟังเรื่องราวต่างๆ
ของพระเยซูจากการสอนจริยธรรมคริสเตียนประจำวันที่โรงพยาบาล จนวันหนึ่ง เธอก็ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูเข้ามาในใจของเธอ
และเป็นสมาชิกของคริสตจักรใจสมาน สุขุมวิทซอย 6 ไม่นานหลังจากนั้น เธอได้ตัดสินใจเบนเข็มจากอาชีพพยาบาลมาทำงานที่คริสตจักรใจสมานเต็มเวลาแม้สามีและคุณแม่ของเธอจะไม่เห็นด้วยอย่างมาก
“ผมไม่อยากให้เธอออกจากงานที่ทำอยู่ แต่ด้วยความรัก ผมจึงยอมให้เธอทำงานอย่างที่ต้องการ” งานใหม่ของคุณวัลลภาได้รับค่าตอบแทนน้อยกว่าอาชีพพยาบาล แต่เป็นงานหนักและต้องเสียสละอย่างมากในการช่วยเหลือเอาใจใส่ผู้ที่มีความทุกข์ยากในหลายรูปแบบ
“ผมต้องแบ่งรายได้ของผมให้แก่เธอซึ่งผมรู้สึกเสียดายเงินของผม
ทำให้เรามีปากเสียงกันบ่อยครั้ง มีอยู่วันหนึ่ง ระหว่างที่ผมขับรถไปส่งเธอทำงานที่คริสตจักร
ผมถามเธอว่า ถ้าให้เลือกระหว่างพระเยซูกับผม เธอจะเลือกใคร เธอตอบว่า เธอรักผมมาก
แต่ถ้าจำเป็นต้องเลือก เธอขอเลือกพระเยซูคริสต์ ผมโกรธมากจึงจอดรถทันทีและเปิดประตูไล่เธอลงจากรถ
และเธอเดินร้องไห้เข้าไปในที่ทำงาน จากนั้นผมก็ทั้งต่อต้านและทะเลาะกับเธอเรื่อยมา
แต่ภรรยาของผมก็อดทนกับผมมาก”
ในปี 1994 คุณหมอวิรัชได้เดินทางไปศึกษาต่อด้านการผ่าตัดผ่านกล้อง (Gynecologic
Endoscopic Surgery) ที่ประเทศฝรั่งเศส ประเทศนี้มีคนใช้ภาษาอังกฤษน้อยและคุณหมอวิรัชเองใช้ภาษาฝรั่งเศสได้ไม่ดีนัก
คุณหมอรู้สึกโดดเดี่ยวและมีความทุกข์พอสมควร เมื่อถึงช่วงการเตรียมทำวิทยานิพนธ์ อาจารย์ที่ปรึกษาได้บอกให้คุณหมอวิรัชเดินทางไปเมืองปารีสเพื่อนำข้อมูลมาทำวิทยานิพนธ์
คุณหมอมาคิดว่าการเดินทางจะต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่น้อยและอาจทำให้ไม่มีเงินจ่ายค่าหอพักและค่าอาหารในเดือนถัดไปแน่นอน
ท่านจึงตัดสินใจไม่ไป “เมื่อผมไม่ไป ผมก็มาคิดว่าถ้าไม่มีข้อมูล
ผมก็จะทำวิทยานิพนธ์ไม่ได้และผมก็จะเรียนไม่จบ ทำให้ผมเครียดมากถึงกับต้องนั่งสมาธิทำใจให้สงบ
แต่ใจก็ไม่สงบ ตอนนี้เองที่ผมนึกถึงพระเยซูที่ผมเคยต่อต้าน เคยด่าว่า
เคยดูถูกกับภรรยามามาก ผมลองขอให้พระเยซูผู้เป็นพระเจ้าช่วยผมโดยผมกำหนดวิธีการเสร็จสรรพคือขอให้ภรรยาผมส่งเงินมาจากประเทศไทยให้ทันเวลา
เมื่ออธิษฐานแล้วก็สบายใจขึ้นบ้าง แต่ไม่หายกังวลเสียทีเดียว เพราะติดต่อทางเมืองไทยไปแล้วทั้งทางจดหมายและโทรศัพท์
ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ หลังจากนั้น อาจารย์ที่ปรึกษาเรียกพบผม ผมเครียดมาก
ผมคิดหาข้อแก้ตัวกับอาจารย์ที่ไม่ได้ไปเอาข้อมูลที่ปารีสตามที่ท่านสั่ง แล้วผมก็แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก
วันที่ผมเข้าไปพบท่าน ท่านบอกว่า ‘คุณไม่ต้องไปปารีสแล้ว
ผมติดต่อไปที่นั่นและเขาได้ส่งข้อมูลมาให้แล้วอยู่ในแผ่นดิสก์นี้ คืนนี้ถ้าคุณว่าง
คุณมานั่งทำงานกับผม (คือตัวอาจารย์เอง) จะให้ผมวิเคราะห์ตารางข้อมูลอะไรก็บอกมา’
ผมได้นั่งทำงานกับอาจารย์ที่ปรึกษาถึงเที่ยงคืนอยู่ 2 วัน อาจารย์ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลให้ผมทั้งหมด ผมเพียงแต่นำข้อมูลไปเขียนให้เรียบร้อย
ผมงงมาก กลับไปนั่งอธิษฐานขอบคุณพระเจ้า สิ่งที่ผมกำหนดให้พระเจ้าช่วยผมนั้น พระองค์ไม่ได้ตอบอย่างที่ผมอยากให้เป็น
แต่ได้รับผลอย่างที่ผมอยากได้ และไม่ใช่ด้วยวิธีการของผม แต่เป็นวิธีการของพระเจ้า
ตอนที่ผมลองขอให้พระเจ้าช่วยนั้น ผมได้ท้าทายพระองค์ว่า ถ้าปัญหาของผมได้รับการแก้ไข
ผมจะยอมไปโบสถ์ แล้วพระเจ้าก็แก้ปัญหาให้ผมจริงๆ หลังจากเรียนจบกลับมาเมืองไทย ผมก็ได้ไปโบสถ์ตามที่ผมสัญญา
คือไปที่คริสตจักรร่วมนิมิต”
หลังจากที่คุณหมอวิรัชได้ศึกษาเรื่องพระเยซูคริสต์ระยะหนึ่ง
ท่านรู้ว่าท่านได้เลือกทางเดินชีวิตที่ถูกต้องแล้ว
ท่านได้พบความจริงที่ท่านไม่สามารถปฏิเสธได้คือความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของท่าน
สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือเรื่องที่ท่านคิดไปเอง
ท่านจึงได้ตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดและประกาศตนเป็นคริสเตียนในวันที่
10 พฤศจิกายน 1995 โดยเป็นสมาชิกสมบูรณ์ของคริสตจักรร่วมนิมิตซึ่งท่านได้มีโอกาสเล่าประสบการณ์ที่ท่านมีกับพระเจ้าและแบ่งปันพระพรที่ท่านได้รับจากการศึกษาถ้อยคำของพระเจ้าจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ให้สมาชิกอื่นๆ
ฟัง โดยที่ไม่ได้จบศาสนศาสตร์จากโรงเรียนพระคริสต์ธรรม
คุณหมอวิรัชกล่าวถึงตนเองว่า “เดิมผมเป็นคนก้าวร้าว ดุ และงก
ไม่เคยให้อะไรใคร ไม่ค่อยสนใจภรรยาและลูก ภรรยาผมทำงานรับใช้พระเจ้าลำบากมาก
ผมก็ไม่สนใจ” คงเป็นเพราะท่านเป็นแพทย์
ท่านจึงมีความมั่นใจในตัวเองและคิดว่าตัวเองถูกเสมอ พระเจ้าได้เปลี่ยนท่านทีละเล็กทีละน้อย
ท่านรู้สึกได้ว่ามีแรงต่อต้านระหว่างความรู้สึกผิดและถูก
มีหลายสิ่งที่ดึงท่านไม่ให้ดำเนินชีวิตกับพระเจ้า เช่น ความรู้สึกสะดวกสบายที่คอยขัดขวางความเชื่อในพระเจ้า
ความรู้สึกไม่อยากไปคริสตจักรในวันอาทิตย์เพราะความเหนื่อยล้าจากงานหรืออื่นๆ ทุกครั้งที่มีความรู้สึกเช่นนี้ท่านรู้ดีว่าจิตวิญญาณของท่านยังไม่เติบโตในพระเจ้า
ต้องอาศัยการอธิษฐาน การอ่านพระคริสตธรรมคัมภีร์ และพบปะพูดคุยรับการหนุนใจจากเพื่อนคริสเตียน
สามสิ่งนี้เป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยนำคนให้กลับมาสู่ทางของพระเจ้าและมีจิตใจที่เจริญขึ้น
ต่อมาในปี 1999 คุณวัลลภาได้หนุนใจให้สามีของเธอก่อตั้งคริสตจักรเอง เธอบอกว่า “พระเจ้าเรียกคุณให้มารู้จักพระองค์และแบ่งปันเรื่องของพระองค์แก่ผู้อื่น
คุณมีโอกาสแล้วก็น่าจะมีภาระใจในการก่อตั้งคริสตจักร” คุณหมอวิรัชจึงเริ่มต้นตามที่ภรรยาสนับสนุน
เริ่มแรกมีสมาชิกในกลุ่มของท่านประมาณ 10 คน ร่วมอธิษฐานอดอาหารเพื่อขอการทรงนำจากพระเจ้า
สถานที่ประชุมคือชั้นล่างของบ้านทาวน์เฮ้าส์ของท่าน ต่อมา พระเจ้าตอบคำอธิษฐานให้สามารถซื้อทาวน์เฮ้าส์ติดกันอีก
1 ห้องเปิดทะลุถึงกัน สร้างเป็นอาคาร 3 ชั้น ชื่อว่า “คริสตจักรพันธมิตรทรินิที่ “ ภายใต้สังกัดสหกิจแห่งประเทศไทย
และเป็นที่ตั้งของ “มูลนิธิสายใยแห่งความหวัง”
ส่วนท่านและครอบครัวย้ายไปอยู่บ้านอีกหลังหนึ่งไม่ห่างจากคริสตจักร คุณหมอวิรัชรับหน้าที่เป็นศิษยาภิบาลผู้ดูแลสมาชิกและพันธกิจของคริสตจักรตลอดจนเป็นผู้เทศนา
“เราไม่มีผู้รับใช้พระเจ้าเต็มเวลา สมาชิกทุกคนเป็นผู้รับใช้พระเจ้าร่วมกัน
สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้คือพระเจ้าเป็นผู้ควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง ผมยังทำงานเป็นสูตินรีแพทย์ซึ่งเป็นภารกิจที่ต้องให้เวลากับงาน
เดี๋ยวคนไข้คลอด เดี๋ยวผ่าตัด แต่พระเจ้าก็จัดเตรียมทุกสิ่ง พระองค์จัดเวลาให้ผมสามารถเป็นทั้งหมอและทั้งผู้รับใช้พระเจ้าที่คริสตจักรให้ลงตัวเสมอ
เมื่อเรารู้จักที่จะวางใจพระเจ้า พระองค์จะทรงควบคุมทุกอย่างให้แก่เรา
ในระหว่างการทำหน้าที่ทั้งหมดนี้ ผมขอบคุณพระเจ้าสำหรับคุณแม่ของภรรยาผมซึ่งป่วยเป็นมะเร็ง
ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต ท่านได้เปิดใจต้อนรับพระเจ้า และท่านยังขอให้ลูกๆ ของท่าน
คือน้องๆ ของภรรยาผมมาเชื่อพระเจ้าทั้งหมด เวลานี้คุณแม่ของผมเองก็มาเชื่อพระเจ้าแล้ว
แม้เมื่อก่อนท่านจะต่อต้าน แต่ท่านเองกลับรับเชื่อก่อนผมเสียอีก”
ในสายตาของคนทั่วไป
แพทย์เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จแทบจะทุกด้านไม่ว่าจะเป็นการศึกษา อาชีพ
ความมั่งคั่ง และฐานะทางสังคม
เมื่อมีทุกสิ่งแล้วก็ไม่น่าที่แพทย์จะต้องแสวงหาอะไรอีกแล้ว แต่คุณหมอวิรัชมีความเห็นว่า
“คนที่เป็นแพทย์ไม่ได้มีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ในทุกเรื่อง
ทุกคนมีปัญหาของตัวเอง เช่น ปัญหาในการประกอบวิชาชีพ ปัญหาในครอบครัว ปัญหาการงาน ผมเองก็มีปัญหาจึงได้มารู้จักพระเจ้า
พระเจ้าเรียกผมให้มาเชื่อพระองค์ก็เพราะผมมีปัญหา”
ความเชื่อในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้ามีบทบาทสำคัญในการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ของท่าน
คุณหมอวิรัชอธิบายว่าโดยทั่วไปความเจ็บป่วยจะหายได้โดยการแพทย์คือคนไข้ต้องไปหาหมอและรับการรักษา
แต่บางคนก็หายด้วยวิธีการอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ชัดเจน คุณหมอวิรัชมีประสบการณ์และมีความเชื่อว่า
“พระเจ้าใช้มือมนุษย์ในการทำงานของพระองค์
การที่คริสเตียนอธิษฐานโดยการวางมือบนคนเจ็บเพื่อขอให้พระเจ้ารักษาเขา พระองค์ก็จะให้ฤทธิ์เดชของพระองค์ผ่านมือนั้นและรักษาเขาตามแผนการของพระองค์และในเวลาของพระองค์
คนที่เรียนวิทยาศาสตร์ถูกสอนให้คิดเป็นหลักการ ต้องมีข้อพิสูจน์บนหลักฐานมั่นคงและบนงานวิจัยก่อนจะเชื่ออะไรสักอย่าง
แต่ก็ยังมีอะไรหลายอย่างในเชิงวิทยาศาสตร์ที่ยังบอกไม่ได้ว่า มีจริง เกิดจริง
พิสูจน์ไม่ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าของเรา
และพิสูจน์ไม่ได้ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในขณะนี้ แต่สิ่งเหล่านั้นก็มีจริงและเป็นจริง
พระเจ้าตรัสว่า ‘ไม่ใช่ธุระของเจ้าที่จะหาข้อพิสูจน์ตรงนั้น
ให้เชื่อในสิ่งที่เจ้าเห็น’ ถ้าใครไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง
ก็ให้ดูพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยในโลกนี้”
“เมื่อผมต้องรักษาคนไข้ที่ป่วยหนักหรือไม่สามารถรักษาได้แล้วและผมทราบว่าสุดท้ายคนไข้คนนี้ก็ต้องตาย
เช่น คนที่เป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย ผมก็จะบอกเขาว่าผมช่วยเขาจนสุดความสามารถแล้ว ผมจะเอาหนังสือเรื่องของพระเจ้าไปให้เขา
และบอกเขาว่า ‘ผมเป็นคริสเตียน ผมมีพระเจ้าที่ผมเชื่อ
ผมจะอธิษฐานเผื่อคุณ คุณรู้จักพระเยซูคริสต์ไหม ?’
และเริ่มเล่าเรื่องพระเจ้าให้เขาฟัง มีบางคนขอให้ผมอธิษฐานให้เขา ผมก็อธิษฐานให้
ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า และผมก็ยังคงรักษาตามขั้นตอนของแพทย์ต่อไปด้วย
ในการทำอย่างนี้ ถ้ามีคนเปิดใจเชื่อพระเจ้าเพราะผม ผมคิดว่าผมไม่ได้หว่านคนเดียว
อาจจะมีคนหว่านเรื่องของพระเจ้าให้แก่เขามาก่อนแล้ว ในการทำงานผมจะอธิษฐานกับพระเจ้าตลอดเวลา
ผมเชื่อว่าพลังอธิษฐานจะเกิดผลหากเราวางภาระไว้กับพระเจ้าอย่างแท้จริง พระเจ้าเป็นผู้ควบคุมทุกอย่างให้เกิดผลอันดีตามพระทัยของพระองค์
ผมเชื่อว่าพระเจ้าทรงรักและปกป้องคนของพระองค์เสมอ”
“ผมเคยจัดกลุ่มประชุมเล็กๆ สำหรับนักศึกษาแพทย์ที่มีความสนใจเรื่องพระเจ้า
พระเจ้าใช้โอกาสนี้ให้พวกเราช่วยแก้ปัญหาซึ่งกันและกัน เช่น มีนักเรียนแพทย์คนหนึ่ง
เขาเป็นคนเดียวในบ้านที่เชื่อพระเจ้าและถูกพ่อแม่ต่อต้าน พวกเราได้ให้คำแนะนำแก่เขาว่าจะต้องปฏิบัติตัวเป็นลูกที่ดี
แม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการเรียนและกิจกรรมต่างๆ
ก็ต้องช่วยเหลืองานของพ่อแม่ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แล้วกลุ่มของเราก็ได้เห็นพ่อแม่ของนักเรียนแพทย์คนนี้มาร่วมงานคริสตมาสที่กลุ่มของเราจัดขึ้นเพื่อเล่าเรื่องของพระเยซูให้คนอื่นได้รู้”
สำหรับคำตรัสของพระเยซูที่ว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต”
คุณหมอวิรัชยืนยันว่า “ไม่ต้องสงสัยกับพระธรรมตอนนี้
เพราะพระเยซูตรัสด้วยว่า ‘ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา’
หมายความว่าทุกคนจะไปถึงพระบิดาผู้ทรงเป็นพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ได้โดยทางพระเยซูเท่านั้น
คนทั่วไปอาจจะบอกว่าเราเกิดและตายหลายชาติ ผมเชื่อว่าเรามีชาตินี้ชาติเดียว คนที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์นั้นจะกลับเข้าสู่แผ่นดินของพระองค์เมื่อหมดเวลาในโลกนี้
การพยายามทำความดีเพื่อจะไปสวรรค์นั้นก็ยากที่จะเป็นไปได้เพราะขาดตัวเชื่อมคือพระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้สละชีวิตเพื่อช่วยให้เราไม่เป็นคนบาปอีกต่อไป
ผมไม่สงสัยและจะไม่กลับไปหาสิ่งที่เป็นฝ่ายโลกหรือความเชื่ออื่น
พระเยซูคริสต์เจ้าเป็นที่สุดของผม กว่าจะเข้าใจถึงจุดนี้ต้องใช้เวลา
พระเจ้าจะเปลี่ยนแปลงเราทั้งจิตใจและบุคลิก ให้เรารู้จักเอื้ออาทรและใส่ใจกับคนอื่น
ถ้าเรามีใจสงสารคน นั่นก็เป็นเพราะเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่จากภายใน”
“ผมชอบพระคัมภีร์ทุกข้อ และนำมาใช้ต่างวาระต่างเวลา
พระธรรมสดุดีบทที่23 ตั้งแต่ข้อหนึ่งถึงข้อสุดท้ายเป็นความจริงที่เกิดขึ้นกับชีวิตผม
คนที่เป็นคริสเตียนต้องตระหนักว่าแม้จะมาเป็นคริสเตียนแล้วปัญหายังคงมีอยู่
พระเจ้าไม่ได้ยกปัญหานั้นออกไป แต่พระองค์ทรงช่วยให้เรามีความสามารถในการผ่านปัญหานั้นไปได้อย่างสง่างาม
พระเจ้าจะทำกิจของพระองค์ผ่านผู้คน”
“ผมอยากบอกว่าเราทุกคนเกิดมาครั้งเดียว
ตายครั้งเดียว และไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปไหน ถ้ารอให้ใกล้ตายแล้วค่อยคิด
เราจะทำอย่างไรถ้าความตายมาถึงเราแบบปัจจุบันทันด่วน เวลานั้นเราก็จะเหมือนคนไม่มีหวังแล้ว
แต่พระเจ้าเป็นความหวัง ชีวิตของเราเหมือนกับเรามาทัวร์ชั่วคราวในโลกเพียงไม่กี่วัน
บ้านถาวรอยู่ข้างบน (สวรรค์) หลังจากเรามาเที่ยวสนุกสนาน
ก็ต้องกลับบ้าน แต่ถ้าหลงทางกลับบ้านไม่ถูก ก็คงลำบาก ถ้าใครยังไม่รู้ว่าอนาคตจะไปไหนดี
น่าจะลองชิมพระเจ้าดูบ้าง ลองชิมพระคริสตธรรมคัมภีร์
ถ้าใครชิมแล้วบอกว่าไม่ดีก็ไม่เป็นไร พระเจ้าเปิดโอกาสให้คุณมีอิสระทางความคิดและการตัดสินใจ
ถ้าใจของคุณยังแข็งกระด้างอยู่ก็ไม่มีทางจะพบพระเจ้าได้
แม้แต่คนที่รับใช้พระเจ้าเอง พระคัมภีร์บอกว่า “มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า
‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์” แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าสวรรค์ได้
สำหรับบางคนที่รับใช้พระเจ้าแต่ไม่ได้ยอมจำนนกับพระเจ้าจริงๆ
ขอหนุนใจให้แสวงหาความจริงของพระเจ้าเมื่อยังมีโอกาสอยู่ สำหรับผม ผมคิดเสมอว่าจะรับใช้พระเจ้าในหน้าที่ที่รับผิดชอบให้สมบูรณ์ที่สุด”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น