บทความที่ได้รับความนิยม

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แพทย์ผู้เคยต่อต้าน!

ณ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประตูห้องทำงานของแพทย์ผู้หนึ่งมีภาพสะดุดตาแสดงศรัทธาของเจ้าของห้อง ศรัทธาอันเด่นชัดนี้สร้างความฉงนให้แก่ผู้มาเยือนเมื่อทราบว่าในอดีตนายแพทย์ท่านนี้เคย ต่อต้าน บุรุษในภาพนั้นเป็นเวลาอันยาวนาน
ท่านคือ รศ.นพ. วิรัช วิศวสุขมงคล จบการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันอายุ 58 ปี ท่านเป็นสูตินรีแพทย์และเป็นอาจารย์แพทย์อยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ และเป็นศิษยาภิบาลคริสตจักรพันธกิจไทยทรินิที่ ภรรยาชื่อ ดร.วัลลภา วิศวสุขมงคล จบปริญญาเอกด้าน Organization Development จากประเทศฟิลิปปินส์ มีบุตรสามคนชื่อ นางสาววิชุดา ทำงานที่ ในตำแหน่ง Resourcing  Manager ที่ Tesco Lotus  นางสาววรรณรัตน์ กำลำงจะเดินทางไปศึกษาต่อในหลักสูตร MCA ที่ Imperial College ประเทศอังกฤษ  และนักศึกษาเพทย์. วิญช์  ศึกษาแพทย์ปีที่ 6 คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หลังจากจบการศึกษาในปี ค.ศ. 1978 คุณหมอวิรัชได้สมรสกับคุณวัลลภาซึ่งขณะนั้นเป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ทั้งคู่เป็นพุทธศาสนิกชน คุณหมอวิรัชต้องไปทำงานใช้ทุนแพทย์ที่โรงพยาบาลมหาราช จังหวัดนครศรีธรรมราช คุณวัลลภาจึงย้ายไปทำงานที่โรงพยาบาลนครคริสเตียนในจังหวัดเดียวกัน เธอได้มีโอกาสรู้จักเพื่อนที่เป็นคริสเตียนมากขึ้นอีกหลายคน และได้ยินได้ฟังเรื่องของพระเยซูแต่ไม่รู้จักพระองค์เมื่อคุณหมอวิรัชทำงานใช้ทุนเรียบร้อยแล้ว ได้ย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพฯ และคุณวัลลภาได้กลับไปทำงานที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียนอีกครั้งหนึ่ง คุณหมอวิรัชเล่าว่า ภรรยาผมบอกว่าเขาฝันเห็นพระเยซู 2 ครั้ง และเธอใช้คำว่า เธอตกหลุมรักพระเยซู ผมก็บอกเธอว่าเธอคงเก็บเรื่องในที่ทำงานมาฝัน อย่างไรก็ดี เธอเริ่มศึกษาเรื่องของพระเจ้าอย่างจริงจังโดยการอ่านพระคัมภีร์และการฟังเรื่องราวต่างๆ ของพระเยซูจากการสอนจริยธรรมคริสเตียนประจำวันที่โรงพยาบาล จนวันหนึ่ง เธอก็ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูเข้ามาในใจของเธอ และเป็นสมาชิกของคริสตจักรใจสมาน สุขุมวิทซอย 6 ไม่นานหลังจากนั้น เธอได้ตัดสินใจเบนเข็มจากอาชีพพยาบาลมาทำงานที่คริสตจักรใจสมานเต็มเวลาแม้สามีและคุณแม่ของเธอจะไม่เห็นด้วยอย่างมาก ผมไม่อยากให้เธอออกจากงานที่ทำอยู่ แต่ด้วยความรัก ผมจึงยอมให้เธอทำงานอย่างที่ต้องการ งานใหม่ของคุณวัลลภาได้รับค่าตอบแทนน้อยกว่าอาชีพพยาบาล แต่เป็นงานหนักและต้องเสียสละอย่างมากในการช่วยเหลือเอาใจใส่ผู้ที่มีความทุกข์ยากในหลายรูปแบบ ผมต้องแบ่งรายได้ของผมให้แก่เธอซึ่งผมรู้สึกเสียดายเงินของผม ทำให้เรามีปากเสียงกันบ่อยครั้ง มีอยู่วันหนึ่ง ระหว่างที่ผมขับรถไปส่งเธอทำงานที่คริสตจักร ผมถามเธอว่า ถ้าให้เลือกระหว่างพระเยซูกับผม เธอจะเลือกใคร เธอตอบว่า เธอรักผมมาก แต่ถ้าจำเป็นต้องเลือก เธอขอเลือกพระเยซูคริสต์ ผมโกรธมากจึงจอดรถทันทีและเปิดประตูไล่เธอลงจากรถ และเธอเดินร้องไห้เข้าไปในที่ทำงาน จากนั้นผมก็ทั้งต่อต้านและทะเลาะกับเธอเรื่อยมา แต่ภรรยาของผมก็อดทนกับผมมาก
ในปี 1994 คุณหมอวิรัชได้เดินทางไปศึกษาต่อด้านการผ่าตัดผ่านกล้อง (Gynecologic Endoscopic Surgery) ที่ประเทศฝรั่งเศส ประเทศนี้มีคนใช้ภาษาอังกฤษน้อยและคุณหมอวิรัชเองใช้ภาษาฝรั่งเศสได้ไม่ดีนัก คุณหมอรู้สึกโดดเดี่ยวและมีความทุกข์พอสมควร เมื่อถึงช่วงการเตรียมทำวิทยานิพนธ์ อาจารย์ที่ปรึกษาได้บอกให้คุณหมอวิรัชเดินทางไปเมืองปารีสเพื่อนำข้อมูลมาทำวิทยานิพนธ์ คุณหมอมาคิดว่าการเดินทางจะต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่น้อยและอาจทำให้ไม่มีเงินจ่ายค่าหอพักและค่าอาหารในเดือนถัดไปแน่นอน ท่านจึงตัดสินใจไม่ไป เมื่อผมไม่ไป ผมก็มาคิดว่าถ้าไม่มีข้อมูล ผมก็จะทำวิทยานิพนธ์ไม่ได้และผมก็จะเรียนไม่จบ ทำให้ผมเครียดมากถึงกับต้องนั่งสมาธิทำใจให้สงบ แต่ใจก็ไม่สงบ ตอนนี้เองที่ผมนึกถึงพระเยซูที่ผมเคยต่อต้าน เคยด่าว่า เคยดูถูกกับภรรยามามาก ผมลองขอให้พระเยซูผู้เป็นพระเจ้าช่วยผมโดยผมกำหนดวิธีการเสร็จสรรพคือขอให้ภรรยาผมส่งเงินมาจากประเทศไทยให้ทันเวลา เมื่ออธิษฐานแล้วก็สบายใจขึ้นบ้าง แต่ไม่หายกังวลเสียทีเดียว เพราะติดต่อทางเมืองไทยไปแล้วทั้งทางจดหมายและโทรศัพท์ ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ หลังจากนั้น อาจารย์ที่ปรึกษาเรียกพบผม ผมเครียดมาก ผมคิดหาข้อแก้ตัวกับอาจารย์ที่ไม่ได้ไปเอาข้อมูลที่ปารีสตามที่ท่านสั่ง แล้วผมก็แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก วันที่ผมเข้าไปพบท่าน ท่านบอกว่า คุณไม่ต้องไปปารีสแล้ว ผมติดต่อไปที่นั่นและเขาได้ส่งข้อมูลมาให้แล้วอยู่ในแผ่นดิสก์นี้ คืนนี้ถ้าคุณว่าง คุณมานั่งทำงานกับผม (คือตัวอาจารย์เอง) จะให้ผมวิเคราะห์ตารางข้อมูลอะไรก็บอกมาผมได้นั่งทำงานกับอาจารย์ที่ปรึกษาถึงเที่ยงคืนอยู่ 2 วัน อาจารย์ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลให้ผมทั้งหมด ผมเพียงแต่นำข้อมูลไปเขียนให้เรียบร้อย ผมงงมาก กลับไปนั่งอธิษฐานขอบคุณพระเจ้า สิ่งที่ผมกำหนดให้พระเจ้าช่วยผมนั้น พระองค์ไม่ได้ตอบอย่างที่ผมอยากให้เป็น แต่ได้รับผลอย่างที่ผมอยากได้ และไม่ใช่ด้วยวิธีการของผม แต่เป็นวิธีการของพระเจ้า ตอนที่ผมลองขอให้พระเจ้าช่วยนั้น ผมได้ท้าทายพระองค์ว่า ถ้าปัญหาของผมได้รับการแก้ไข ผมจะยอมไปโบสถ์ แล้วพระเจ้าก็แก้ปัญหาให้ผมจริงๆ หลังจากเรียนจบกลับมาเมืองไทย ผมก็ได้ไปโบสถ์ตามที่ผมสัญญา คือไปที่คริสตจักรร่วมนิมิต
หลังจากที่คุณหมอวิรัชได้ศึกษาเรื่องพระเยซูคริสต์ระยะหนึ่ง ท่านรู้ว่าท่านได้เลือกทางเดินชีวิตที่ถูกต้องแล้ว ท่านได้พบความจริงที่ท่านไม่สามารถปฏิเสธได้คือความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของท่าน สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือเรื่องที่ท่านคิดไปเอง ท่านจึงได้ตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดและประกาศตนเป็นคริสเตียนในวันที่ 10 พฤศจิกายน 1995 โดยเป็นสมาชิกสมบูรณ์ของคริสตจักรร่วมนิมิตซึ่งท่านได้มีโอกาสเล่าประสบการณ์ที่ท่านมีกับพระเจ้าและแบ่งปันพระพรที่ท่านได้รับจากการศึกษาถ้อยคำของพระเจ้าจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ให้สมาชิกอื่นๆ ฟัง โดยที่ไม่ได้จบศาสนศาสตร์จากโรงเรียนพระคริสต์ธรรม
คุณหมอวิรัชกล่าวถึงตนเองว่า เดิมผมเป็นคนก้าวร้าว ดุ และงก ไม่เคยให้อะไรใคร ไม่ค่อยสนใจภรรยาและลูก ภรรยาผมทำงานรับใช้พระเจ้าลำบากมาก ผมก็ไม่สนใจ คงเป็นเพราะท่านเป็นแพทย์ ท่านจึงมีความมั่นใจในตัวเองและคิดว่าตัวเองถูกเสมอ พระเจ้าได้เปลี่ยนท่านทีละเล็กทีละน้อย ท่านรู้สึกได้ว่ามีแรงต่อต้านระหว่างความรู้สึกผิดและถูก มีหลายสิ่งที่ดึงท่านไม่ให้ดำเนินชีวิตกับพระเจ้า เช่น ความรู้สึกสะดวกสบายที่คอยขัดขวางความเชื่อในพระเจ้า ความรู้สึกไม่อยากไปคริสตจักรในวันอาทิตย์เพราะความเหนื่อยล้าจากงานหรืออื่นๆ ทุกครั้งที่มีความรู้สึกเช่นนี้ท่านรู้ดีว่าจิตวิญญาณของท่านยังไม่เติบโตในพระเจ้า ต้องอาศัยการอธิษฐาน การอ่านพระคริสตธรรมคัมภีร์ และพบปะพูดคุยรับการหนุนใจจากเพื่อนคริสเตียน สามสิ่งนี้เป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยนำคนให้กลับมาสู่ทางของพระเจ้าและมีจิตใจที่เจริญขึ้น
ต่อมาในปี 1999 คุณวัลลภาได้หนุนใจให้สามีของเธอก่อตั้งคริสตจักรเอง เธอบอกว่า พระเจ้าเรียกคุณให้มารู้จักพระองค์และแบ่งปันเรื่องของพระองค์แก่ผู้อื่น คุณมีโอกาสแล้วก็น่าจะมีภาระใจในการก่อตั้งคริสตจักรคุณหมอวิรัชจึงเริ่มต้นตามที่ภรรยาสนับสนุน เริ่มแรกมีสมาชิกในกลุ่มของท่านประมาณ 10 คน ร่วมอธิษฐานอดอาหารเพื่อขอการทรงนำจากพระเจ้า สถานที่ประชุมคือชั้นล่างของบ้านทาวน์เฮ้าส์ของท่าน ต่อมา พระเจ้าตอบคำอธิษฐานให้สามารถซื้อทาวน์เฮ้าส์ติดกันอีก 1 ห้องเปิดทะลุถึงกัน สร้างเป็นอาคาร 3 ชั้น ชื่อว่า “คริสตจักรพันธมิตรทรินิที่ “ ภายใต้สังกัดสหกิจแห่งประเทศไทย  และเป็นที่ตั้งของ “มูลนิธิสายใยแห่งความหวัง” ส่วนท่านและครอบครัวย้ายไปอยู่บ้านอีกหลังหนึ่งไม่ห่างจากคริสตจักร คุณหมอวิรัชรับหน้าที่เป็นศิษยาภิบาลผู้ดูแลสมาชิกและพันธกิจของคริสตจักรตลอดจนเป็นผู้เทศนา เราไม่มีผู้รับใช้พระเจ้าเต็มเวลา สมาชิกทุกคนเป็นผู้รับใช้พระเจ้าร่วมกัน สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้คือพระเจ้าเป็นผู้ควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง ผมยังทำงานเป็นสูตินรีแพทย์ซึ่งเป็นภารกิจที่ต้องให้เวลากับงาน เดี๋ยวคนไข้คลอด เดี๋ยวผ่าตัด แต่พระเจ้าก็จัดเตรียมทุกสิ่ง พระองค์จัดเวลาให้ผมสามารถเป็นทั้งหมอและทั้งผู้รับใช้พระเจ้าที่คริสตจักรให้ลงตัวเสมอ เมื่อเรารู้จักที่จะวางใจพระเจ้า พระองค์จะทรงควบคุมทุกอย่างให้แก่เรา ในระหว่างการทำหน้าที่ทั้งหมดนี้ ผมขอบคุณพระเจ้าสำหรับคุณแม่ของภรรยาผมซึ่งป่วยเป็นมะเร็ง ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต ท่านได้เปิดใจต้อนรับพระเจ้า และท่านยังขอให้ลูกๆ ของท่าน คือน้องๆ ของภรรยาผมมาเชื่อพระเจ้าทั้งหมด เวลานี้คุณแม่ของผมเองก็มาเชื่อพระเจ้าแล้ว แม้เมื่อก่อนท่านจะต่อต้าน แต่ท่านเองกลับรับเชื่อก่อนผมเสียอีก
ในสายตาของคนทั่วไป แพทย์เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จแทบจะทุกด้านไม่ว่าจะเป็นการศึกษา อาชีพ ความมั่งคั่ง และฐานะทางสังคม เมื่อมีทุกสิ่งแล้วก็ไม่น่าที่แพทย์จะต้องแสวงหาอะไรอีกแล้ว แต่คุณหมอวิรัชมีความเห็นว่า คนที่เป็นแพทย์ไม่ได้มีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ในทุกเรื่อง ทุกคนมีปัญหาของตัวเอง เช่น ปัญหาในการประกอบวิชาชีพ ปัญหาในครอบครัว ปัญหาการงาน ผมเองก็มีปัญหาจึงได้มารู้จักพระเจ้า พระเจ้าเรียกผมให้มาเชื่อพระองค์ก็เพราะผมมีปัญหา
ความเชื่อในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้ามีบทบาทสำคัญในการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ของท่าน คุณหมอวิรัชอธิบายว่าโดยทั่วไปความเจ็บป่วยจะหายได้โดยการแพทย์คือคนไข้ต้องไปหาหมอและรับการรักษา แต่บางคนก็หายด้วยวิธีการอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ชัดเจน คุณหมอวิรัชมีประสบการณ์และมีความเชื่อว่า พระเจ้าใช้มือมนุษย์ในการทำงานของพระองค์ การที่คริสเตียนอธิษฐานโดยการวางมือบนคนเจ็บเพื่อขอให้พระเจ้ารักษาเขา พระองค์ก็จะให้ฤทธิ์เดชของพระองค์ผ่านมือนั้นและรักษาเขาตามแผนการของพระองค์และในเวลาของพระองค์ คนที่เรียนวิทยาศาสตร์ถูกสอนให้คิดเป็นหลักการ ต้องมีข้อพิสูจน์บนหลักฐานมั่นคงและบนงานวิจัยก่อนจะเชื่ออะไรสักอย่าง แต่ก็ยังมีอะไรหลายอย่างในเชิงวิทยาศาสตร์ที่ยังบอกไม่ได้ว่า มีจริง เกิดจริง พิสูจน์ไม่ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าของเรา และพิสูจน์ไม่ได้ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในขณะนี้ แต่สิ่งเหล่านั้นก็มีจริงและเป็นจริง พระเจ้าตรัสว่า ไม่ใช่ธุระของเจ้าที่จะหาข้อพิสูจน์ตรงนั้น ให้เชื่อในสิ่งที่เจ้าเห็น ถ้าใครไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง ก็ให้ดูพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยในโลกนี้
เมื่อผมต้องรักษาคนไข้ที่ป่วยหนักหรือไม่สามารถรักษาได้แล้วและผมทราบว่าสุดท้ายคนไข้คนนี้ก็ต้องตาย เช่น คนที่เป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย ผมก็จะบอกเขาว่าผมช่วยเขาจนสุดความสามารถแล้ว ผมจะเอาหนังสือเรื่องของพระเจ้าไปให้เขา และบอกเขาว่า ผมเป็นคริสเตียน ผมมีพระเจ้าที่ผมเชื่อ ผมจะอธิษฐานเผื่อคุณ คุณรู้จักพระเยซูคริสต์ไหม ?’ และเริ่มเล่าเรื่องพระเจ้าให้เขาฟัง มีบางคนขอให้ผมอธิษฐานให้เขา ผมก็อธิษฐานให้ ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า และผมก็ยังคงรักษาตามขั้นตอนของแพทย์ต่อไปด้วย ในการทำอย่างนี้ ถ้ามีคนเปิดใจเชื่อพระเจ้าเพราะผม ผมคิดว่าผมไม่ได้หว่านคนเดียว อาจจะมีคนหว่านเรื่องของพระเจ้าให้แก่เขามาก่อนแล้ว ในการทำงานผมจะอธิษฐานกับพระเจ้าตลอดเวลา ผมเชื่อว่าพลังอธิษฐานจะเกิดผลหากเราวางภาระไว้กับพระเจ้าอย่างแท้จริง พระเจ้าเป็นผู้ควบคุมทุกอย่างให้เกิดผลอันดีตามพระทัยของพระองค์ ผมเชื่อว่าพระเจ้าทรงรักและปกป้องคนของพระองค์เสมอ
ผมเคยจัดกลุ่มประชุมเล็กๆ สำหรับนักศึกษาแพทย์ที่มีความสนใจเรื่องพระเจ้า พระเจ้าใช้โอกาสนี้ให้พวกเราช่วยแก้ปัญหาซึ่งกันและกัน เช่น มีนักเรียนแพทย์คนหนึ่ง เขาเป็นคนเดียวในบ้านที่เชื่อพระเจ้าและถูกพ่อแม่ต่อต้าน พวกเราได้ให้คำแนะนำแก่เขาว่าจะต้องปฏิบัติตัวเป็นลูกที่ดี แม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการเรียนและกิจกรรมต่างๆ ก็ต้องช่วยเหลืองานของพ่อแม่ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แล้วกลุ่มของเราก็ได้เห็นพ่อแม่ของนักเรียนแพทย์คนนี้มาร่วมงานคริสตมาสที่กลุ่มของเราจัดขึ้นเพื่อเล่าเรื่องของพระเยซูให้คนอื่นได้รู้
สำหรับคำตรัสของพระเยซูที่ว่า เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิตคุณหมอวิรัชยืนยันว่า ไม่ต้องสงสัยกับพระธรรมตอนนี้ เพราะพระเยซูตรัสด้วยว่า ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเราหมายความว่าทุกคนจะไปถึงพระบิดาผู้ทรงเป็นพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ได้โดยทางพระเยซูเท่านั้น คนทั่วไปอาจจะบอกว่าเราเกิดและตายหลายชาติ ผมเชื่อว่าเรามีชาตินี้ชาติเดียว คนที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์นั้นจะกลับเข้าสู่แผ่นดินของพระองค์เมื่อหมดเวลาในโลกนี้ การพยายามทำความดีเพื่อจะไปสวรรค์นั้นก็ยากที่จะเป็นไปได้เพราะขาดตัวเชื่อมคือพระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้สละชีวิตเพื่อช่วยให้เราไม่เป็นคนบาปอีกต่อไป ผมไม่สงสัยและจะไม่กลับไปหาสิ่งที่เป็นฝ่ายโลกหรือความเชื่ออื่น พระเยซูคริสต์เจ้าเป็นที่สุดของผม กว่าจะเข้าใจถึงจุดนี้ต้องใช้เวลา พระเจ้าจะเปลี่ยนแปลงเราทั้งจิตใจและบุคลิก ให้เรารู้จักเอื้ออาทรและใส่ใจกับคนอื่น ถ้าเรามีใจสงสารคน นั่นก็เป็นเพราะเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่จากภายใน
ผมชอบพระคัมภีร์ทุกข้อ และนำมาใช้ต่างวาระต่างเวลา พระธรรมสดุดีบทที่23 ตั้งแต่ข้อหนึ่งถึงข้อสุดท้ายเป็นความจริงที่เกิดขึ้นกับชีวิตผม คนที่เป็นคริสเตียนต้องตระหนักว่าแม้จะมาเป็นคริสเตียนแล้วปัญหายังคงมีอยู่ พระเจ้าไม่ได้ยกปัญหานั้นออกไป แต่พระองค์ทรงช่วยให้เรามีความสามารถในการผ่านปัญหานั้นไปได้อย่างสง่างาม พระเจ้าจะทำกิจของพระองค์ผ่านผู้คน

ผมอยากบอกว่าเราทุกคนเกิดมาครั้งเดียว ตายครั้งเดียว และไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปไหน ถ้ารอให้ใกล้ตายแล้วค่อยคิด เราจะทำอย่างไรถ้าความตายมาถึงเราแบบปัจจุบันทันด่วน เวลานั้นเราก็จะเหมือนคนไม่มีหวังแล้ว แต่พระเจ้าเป็นความหวัง ชีวิตของเราเหมือนกับเรามาทัวร์ชั่วคราวในโลกเพียงไม่กี่วัน บ้านถาวรอยู่ข้างบน (สวรรค์) หลังจากเรามาเที่ยวสนุกสนาน ก็ต้องกลับบ้าน แต่ถ้าหลงทางกลับบ้านไม่ถูก ก็คงลำบาก ถ้าใครยังไม่รู้ว่าอนาคตจะไปไหนดี น่าจะลองชิมพระเจ้าดูบ้าง ลองชิมพระคริสตธรรมคัมภีร์ ถ้าใครชิมแล้วบอกว่าไม่ดีก็ไม่เป็นไร พระเจ้าเปิดโอกาสให้คุณมีอิสระทางความคิดและการตัดสินใจ ถ้าใจของคุณยังแข็งกระด้างอยู่ก็ไม่มีทางจะพบพระเจ้าได้ แม้แต่คนที่รับใช้พระเจ้าเอง พระคัมภีร์บอกว่า มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าสวรรค์ได้ สำหรับบางคนที่รับใช้พระเจ้าแต่ไม่ได้ยอมจำนนกับพระเจ้าจริงๆ ขอหนุนใจให้แสวงหาความจริงของพระเจ้าเมื่อยังมีโอกาสอยู่ สำหรับผม ผมคิดเสมอว่าจะรับใช้พระเจ้าในหน้าที่ที่รับผิดชอบให้สมบูรณ์ที่สุด



วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

แนวคิค ทฤษฎี ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง ของ Rick Warren

Rick Warren นักเขียนหนังสือชื่อดังและเป็นศาสนาจารย์อาวุโสทางคริสต์ศาสนาได้พยายามนำหลักการของทฤษฎีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับหลักการ 7 ประการที่ได้มาจากที่ประชุมขององค์การสหประชาชาติ มาสร้างต้นแบบของผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สามารถก่อให้เกิด “พลังการทำงานเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ หรือ Synergy of energy”

หลักการ 7 ประการของผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดพลังการทำงานเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ (Seven Principles of Transformational Leadership…Creating A Synergy of Energy) มีแนวคิดดังนี้

หลักการที่ 1 : หลักการ “ทำให้เป็นเรื่องง่าย” (Principle of Simplification)
ต้องมีความสามารถทำวิสัยทัศน์ให้เกิดความชัดเจนและสามารถปฏิบัติได้

หลักการที่ 2 : หลักการ “การจูงใจ”(Principle of Motivation)
ต้องมีประสิทธิผลสูงในการทำให้ผู้อื่นเห็นด้วยยอมรับ และเกิดความยึดมั่น ผูกพันขึ้น

หลักการที่ 3 :หลักการ “การเอื้ออำนวยความสะดวก” (Principle of Facilitation)
ต้องมีความสามารถในการเอื้ออำนวยการ เรียนรู้ ของบุคลากรเป็นรายบุคคล เป็นทีม และผู้ที่เป็น ทรัพยากรอื่นๆขององค์กรได้อย่าง
มีประสิทธิภาพ

หลักการที่ 4 : หลักการแห่ง “การริเริ่มสิ่งใหม่” (Principle of Innovation)
ความสามารถของผู้นำในการเปลี่ยนแปลงเรื่อง ยาก ๆ ได้สำเร็จและมีประสิทธิผล

หลักการที่ 5 : หลักการ “ด้านการขับเคลื่อน” (Principle of Mobilization)
ความสามารถของผู้นำการเปลี่ยนแปลง ในการระบุ ปัญหา การจัดปัจจัย และการมอบอำนาจการ ตัดสินใจแก่ผู้ปฏิบัติ
ให้บรรลุตามวิสัยทัศน์

หลักการที่ 6 : หลักการเตรียมความพร้อม (Principle of Preparation)
ความสามารถของผู้นำที่จะไม่หยุดการเรียนรู้ไม่ว่ามีหรือไม่มีใครช่วยเหลือก็ตาม

หลักการที่ 7 : หลักการแห่ง “การสิ้นสุด” (Principle of Determination)
ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงต้องรู้จักพอและ รู้ว่าเมื่อไรควรหยุด

ด้วยเหตุนี้ ผู้นำการเปลี่ยนแปลงจึงมีความจำเป็นต้องพัฒนาสภาพจิตใจ อารมณ์และสุขภาพกายของตนเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มีพลังใจที่แน่วแน่และยึดมั่นต่อภารกิจที่เป็นพันธะผูกพันอันยากลำบากนั้นให้สำเร็จจงได้ต่อไป

ท่าน พร้อม ที่จะเรียนรู้......และพร้อมที่จะเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงแล้วหรือยัง?
เรามาเริ่มต้น....ที่จะพัฒนาองค์กรของเราด้วยการ....ยอมรับ และเรียนรู้ด้วยกัน....



" ผู้นำไม่ใช่ผู้ที่จะนำคนอื่น แต่คือผู้ที่สามารถทำให้คนอื่นคล้อยตามด้วยศรัทธา ให้เขาฟังเรา ฟังความคิดอ่านของเรา ให้เขาอยากเดินตามเรา"

ผู้นำยุคใหม่ (เก่งงาน เก่งคน เก่งคิด เก่งดำเนินชีวิต)
- learn to think เก่งคิด
- learn to learn (long life Education) เก่งดำเนินชีวิต
- learn democracy way เก่งงาน
- learn to know participation เก่งคน
- learn to manage the emotion เก่งต่อการอดกลั้น ควบคุมอารมณ์ตนเอง





ผู้นำชั้นยอด: นำผู้อื่นเพื่อให้นำตนเอง

แมนซ์ และซิมส์ (Manz and Sims,1991) ได้นำเสนอแนวคิดใหม่เกี่ยวกับภาวะผู้นำที่เรียกว่า ทฤษฎีผู้นำชั้นยอด (Super leadership Theory) ซึ่งมีแนวคิดหลักเชิงพฤติกรรม ว่าของผู้นำว่า
ผู้นำชั้นยอด คือ ผู้นำที่นำคนอื่นเพื่อให้คนอื่นสามารถนำตนเองได้ โดยผู้นำทำตนเป็นผู้สอนและแนะนำให้ลูกน้องเกิดการพัฒนากรอบความคิดเชิงเหตุผล และสร้างสรรค์ให้เป็นแนวทางในการพัฒนาตนเองจนมีความมั่นใจ มีความเป็นอิสระในตน จนมีความเป็นผู้นำเกิดขึ้นในตนเอง

ผู้นำชั้นยอดจะใช้วิธี บันดาลใจผู้อื่น (inspiration) ให้เขาจูงใจตนเอง และเมื่อเขาสามารถนำตนเองได้(self- directing) คนเหล่านี้แทบจะไม่มีความต้องการได้รับการควบคุมจากภายนอก ( external control) แต่อย่างไร


แนวคิดเกี่ยวกับ ผู้นำชั้นยอด กำหนดให้ผู้นำต้อง มีความกล้าเสี่ยงกับคน จะต้องเชื่อว่า ถ้าเปิดโอกาสให้เขานำตนเองแล้ว ( self- directing) คนก็จะพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพสูงสุดที่เขามีและจะทำงานนั้นด้วยด้วยตนเองอย่างได้ผลดีสูงสุดเช่นเดียวกัน

กุญแจที่สำคัญที่สุดของการเป็นผู้นำชั้นยอด คือ

การมี “ความสามารถในการสอน และ ให้กรอบความคิดที่ถูกต้อง ”( right thought pattern ) แก่สมาชิก

แมนซ์ และ ซิมส์ ได้แนะนำวิธีการเฉพาะที่ใช้ในการสร้างหรือเปลี่ยนกรอบความคิดในแนวทางที่พึงประสงค์ ได้แก่
1.การไม่มีสมมุติฐานหรือความเชื่อเชิงทำลาย(No destructive beliefs and assumption)
2. พูดในเชิงบวกเกี่ยวกับตนเอง ( positive self-talk) และ
3..มีวิสัยทัศน์การปฏิบัติงานที่สัมฤทธิ์ผล ( Visualization of effective performance)

ผู้นำและบุคคลทั่วไปสามารถพัฒนาทักษะเหล่านี้ได้ด้วยตนอง โดยการเสริมสร้างเจตคติและพฤติกรรมของตนเอง ดังต่อไปนี้….


1. ค้นหาให้พบและหาทางปรับปรุงสมมุติฐานหรือความเชื่อเชิงทำลายที่ตนมี
( Identification and replacement of destructive beliefs and assumption) โดยการค้นหาจุดอ่อนความคิดเชิงลบของตนแล้วทดแทนที่ด้วยมุมมองและทัศนะใหม่ที่เป็นแง่บวก
2. ใช้วิธีการพูดในเชิงบวกเกี่ยวกับตนเอง ( positive and constructive self-talk) ความคิดด้านลบสามารถเปลี่ยน เป็นด้านบวกได้
3.สร้างความสามารถในการมองเห็นวิธีต่างๆในการทำงานอย่างมีประสิทธิผล( Visualization of methods for effective performance)

คุณสมบัติสำคัญของผู้นำ ......ที่พึงมี
- ชอบสร้างจินตนาการ
- ไม่ละความพยายามในการค้นหาวิธีใหม่ๆ ที่ท้าทาย
- ทำให้เกิดทางเลือกในการทำงานที่มีประสิทธิภาพขึ้นหลายทาง
- ความสามารถสร้างมุมมองที่ตรงกับความเป็นจริง จะช่วยให้บุคคลนั้นเกิดความมั่นใจในขีดความสามารถและความมีประสิทธิผลของตน

โดยสรุป ผู้นำชั้นยอด จะช่วยสร้างเงื่อนไขให้กับสมาชิกทีมงานของตนให้สามารถทำงาน ได้สำเร็จโดยปราศจากผู้นำดูแล
ด้วยการส่งเสริมให้คนพัฒนาตนเองเองให้เป็น ผู้นำของตนเอง

ดังนั้น การบรรลุเป้าหมาย คือ การสร้างผู้นำขึ้นมาเป็นทีมงาน ที่มีวิธีการบริหารจัดการแบบ “การบริหารตนเอง” (self-management) หรือการนำตนเอง ( self- directing) ให้มากยิ่งขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ชีวิตที่เลือกได้ ของ ดร.วัลลภา วิศวสุขมงคล

ย้อนกลับไปเมื่อ 29 ปีที่แล้ว วัลลภา พยาบาลสาวสวย เธอมีสามีเป็นแพทย์หนุ่มหล่อ ตำแหน่งสูตินารีเวชที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ส่วนตัวของเธอนั้น เป็นพุทธศาสนิกชน ที่เคร่งในศาสนาเป็นที่สุด และชอบช่วยเหลือผู้คนเป็นชีวิตจิตใจ ได้เข้ามาทำงานที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียนในแผนกอายุรกรรม สิ่งที่ทำให้เธอต้องแปลกใจก็คือ ทุกๆห้องของคนไข้ จะมีภาพที่เหมือนกัน เป็นภาพของพระเยซูคริสต์ ทุกวันที่ทำงานเป็นผู้ช่วยแพทย์ในการติดตามไปตรวจคนไข้ ต้องได้เห็นภาพของพระเยซูอยู่เสมอ
“ในตอนดึกของคืนวันหนึ่งของเดือนเมษายน เธอฝันเห็น ชายแก่ ผมขาว สวมเสื้อแขนยาว เดินมาหาเธอ เธอคิดว่าคงเป็นภาพติดตาจากห้องต่างๆ ของคนไข้มากกว่า จึงไม่สนใจอะไร แต่ปรากฏว่าคืนต่อมาเธอฝันแบบเดิมอีก และภาพในฝันนั้น มันชัดเจนอย่างมาก” จนเธอไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นเพียงแค่ความฝันธรรมดา หรือภาพติดตาเท่านั้น ด้วยที่เป็นคนอยากรู้อยากเห็น จึงได้บอกกับสามีของเธอว่า จะขอเปลี่ยนศาสนามาเป็นศาสนาคริสต์ แต่สามีของเธอไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งและต่อต้านไม่ให้เธอทำอย่างนั้น
แต่สิ่งที่อยู่ในใจมันเร้าใจเธออย่างมาก จึงตัดสินใจไปคุยกับอนุสาศกของโรงพยาบาล ท่านได้แนะนำให้รู้จักกับพระเจ้า แต่ยังไม่ได้ให้เธอต้อนรับพระเยซูคริสต์ และบอกว่า ค่อยตัดสินใจทีหลังก็ได้ พร้อมกับให้พระคัมภีร์กีเดียนมาอ่าน เพื่อศึกษาก่อน เธอรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก พูดกับตัวเองว่า..ทำไมการเป็นคริสเตียนมันถึงได้ยากขนาดนี้ จึงคิดจะเลิกสนใจ ถึงแม้ว่าเธอจะคิดอย่างนั้นก็ยังตาม เธอก็ยังหยิบพระคัมภีร์มาอ่านทุกๆวัน
หลังจากที่เธอได้อ่านพระคัมภีร์เพื่อศึกษาความจริงได้ระยะหนึ่ง ในคืนวันที่ 1 ตุลาคม เป็นวันที่เธอจำได้อย่างขึ้นใจมาโดยตลอด เหมือนมีอะไรดลใจให้เธอเปิดพระคัมภีร์ไปหน้าสุดท้าย ที่มีการให้อธิษฐานรับเชื่อ เธอจึงตัดสินใจ อธิษฐานตามคำอธิษฐานรับเชื่อด้วยตัวของเธอเอง และเดี๋ยวนี้เธอรู้อย่างชัดเจนว่า ในวันนั้น คือพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเองที่ได้ดลใจให้เธอได้ทำอย่างนั้น
ในเวลาต่อมา เธอถูกย้ายไปทำงานในห้องผ่าตัด หัวหน้าห้องผ่าตัดได้ชวนเธอเข้าไปร่วมกลุ่มนมัสการพระเจ้า เธอปฏิเสธในตอนแรกแต่แอบไปร่วมในกลุ่ม โดยไปอยู่ด้านหลังสุด การนมัสการของกลุ่มในวันนั้น คนที่เทศนาได้เชิญชวนคนที่เข้ามานมัสการให้รับเชื่อพระเยซู เธอไม่ต้อนรับ เพราะคิดว่ารับเองไปแล้ว จนกระทั้งอนุสาศกของโรงพยาบาลชี้มาที่เธอ พร้อมบอกกับนักเทศน์ว่า เธอเป็นคนที่สนใจเรื่องพระเจ้า หลังจากที่นักเทศน์ได้ให้คำแนะนำหลายสิ่งหลายอย่าง ท่านก็ได้นำเธออธิษฐานต้อนรับพระเยซูคริสต์ต่อหน้าคนที่มานมัสการในวันนั้น และสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เธอมีความสุขเป็นอย่างยิ่งเพราะได้รับการประกาศว่าเธอเป็นคริสเตียน เพราะก่อนหน้านั้นที่เธอรับเชื่อด้วยตัวเอง เหมือนเป็นคริสเตียนเถื่อน
ปัจจุบัน เธอกลายเป็นนักประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ที่รักพระเจ้า เพราะจากประสบการณ์ที่คิดว่า การเป็นคริสเตียนนั้นเป็นเรื่องยากลำบาก จึงทำให้เธอได้ฉวยโอกาสในการประกาศข่าวประเสริฐทุกครั้งที่ได้พบปะกับผู้คน และเธอคิดอยู่เสมอว่า มีผู้คนมากมาย ที่หิวกระหายพระเยซูคริสต์ เพียงแต่ไม่มีคนแนะนำเท่านั้น
ศึกษาประวัติ ดร.วัลลภา เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.wwallapa.com